นอกจากนี้แล้ว เมื่อ prefix เติมหน้าคำ ความหมายของคำที่เกิดใหม่มักจะ ชัดเจน และไม่เปลี่ยนแปลงจากความหมายเดิมมากมัก แต่ถ้า suffix ไปต่อท้ายคำแล้ว ความหมายมักจะไม่ใคร่ชัดเจนและเปลี่ยนไปจากความหมายเติมมาก ซึ่งผู้อ่านจะต้องมีความชำนาญหรือประสบการณ์สนทนการตีความหมายของคำที่ต่อ’ท้ายด้วย suffix ขอให้ดู ตัวอย่างของ prefix
กริยา 1 กริยา 2 ความหมาย
appear reappear ปรากฏอีกappoint reappoint ตั้งใหม่อีก
turn return เล่าซ้ำาหรือเล่าทวนกลับมาอีก
กริยา นาม ความหมายของกริยา
amuse amusement สิ่งทีทำให้คนขบขัน
achieve achievement ลี่งที่ประสบความสำเร็จ
amaze amazement ลักษณะของความประหลาดใจ
judge Judgement การกระทำหรือผลของการตัดสินใจ
นักศึกษาจะเห็นว่า suffix เปลี่ยนสภาพของคำจากกริยามาเป็นคำนามและ ความหมายก็เปลี่ยนแปลงไปคำละอย่างไม่คล้ายคลึงกันเลย
ส่วน roots นั้น ก็เป็นฐานของศัพท์มักจะมาจากภาษากรีทหรือละตินและเมื่อ นำมาใชํในภาษาอังกฤษก็มี prefix หรือ suffix มาต่อเติม เพื่อที่จะให้ได้ความหมายสมบูรณ์ ในภาษาอังกฤษ หรือบางครั้งตัว roots เอง ก็อาจจะมาทำหน้าที่เป็น prefix หรือ suffix เสียเองก็ได้ในภาษาอังกฤษ ส่วนมาก roots ในภาษาอังกฤษจะมาจากภาษาละติน กรีท และแองโกร-แซกซั่น และเมื่อเอามารวมกับ prefix หรือ suffix ก็จะเกิดเป็นศัพท์ในภาษาอังกฤษขึ้นมา ดังนั้น นักศึกกษาจึงควรต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ไว้ เพื่อจะช่วยให้เป็นแนวทางใน การอ่านภาษา
หลายคนคงเคยเห็นและแม้แต่เคยเขียนคำว่า felony, balcony, alcohol, mosquito, kindergarten และคำอื่น ๆ อีกมากมาย เขาเหล่านี้คงจะเข้าใจว่าคำพวกนี้เป็น คำในภาษาอังกฤษโดยตรง เพราะเขาเรียนรู้คำเหล่านี้ในขณะที่เขาเรียนภาษาอังกฤษ แต่ แท้จริงแล้ว คำในภาษาอังกฤษมากมายได้ขอยืมมาจากภาษาอื่น ๆ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน อาระเปีย ฮิบบรู และแม้แต่ภาษาจีน เช่น chop suey และ soy เป็นต้น นอกจากนี้แล้วภาษาอังกฤษก็ยังสร้างศัพท์ของตนเองขึ้นมาโดยเอารากศัพท์ (roots) มา จากภาษาละตินและกรีกและรากอัพท์หรือฐานเหล่านี้ก็มาประกอบเข้ากับ prefix หรือ suffix และทำให้เกิดความหมายของคำในภาษาอังกฤษ โดยรากศัพท์หรือฐานเหล่านั้นเป็น ความหมายที่สำคัญ นักศึกษาจะเข้าใจความหมายของคำดีขึ้น เมื่อได้เห็นว่าคำเหล่านั้นมา ประกอบกันได้อย่างไร
คำภาษาอังกฤษล้วนมากมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ชึ่งอาจจะเกิดจากการเติมส่วนหน้าคำ คือ- prefix หรือการต่อท้ายคำ คือ suffix หรืออาจจะเกิดจากการเปลี่ยนหน้าที่ ของคำ เช่น คำ ๆ เดียว แต่อาจทำหน้าที่เป็นคำกริยา หรือเป็นคำนามในประโยค หรือ อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยการประสมคำ ในตอนแรกจะกล่าวถึง prefix บางกลุ่มที่ เมื่อไปเติมหน้าคำแล้วให้ความหมายเพิ่มขึ้นจากคำเดิม คือ เป็นความหมายของ prefix รวมกับความหมายของคำเดิม
Prefix Meaning Example re- again rewrite = write again pre- before prehistoric = before history post- after postwar = after the war anti- against antisocial = against society mis- wrongly misspell = spell wrongly non- without, not nonstop = without stop dis- not disagree = not agree
Prefix Meaning Example un- not unusual = not usual in- not incomplete = not complete im- not impossible = not possible
ให้นักศึกษาเกตว่า prefix re-, pre-, anti-, mis- และ non นั้น จะเพิ่ม ความหมายให้คำ ส่วน prefix dis-, un-, in- และ im- จะให้ความหมายในเชิงปฏิเสธ คือ มีความหมาย not บางครั้ง prefix ที่เปีนปฏิเสธนี้ จะเปลี่ยนความหมายของคำให้เป็นความหมาย ที่ตรงกันข้าม เช่น
happy -> unhappy (not happy)
similar -> dissimilar (not similar)
correct -> incorrect (not correct)
possible -> impossible (not possible)
inside ตรงข้าม outside
increase ตรงข้าม decrease
import ตรงข้าม export
internal ตรงข้าม external
เขียนโดย รองศาสตราจารย์ ดร. ธัญญารัตน์ ปาณะกุล และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ส่องศรี โตประเสริฐ
การเขียนในที่นี้มีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ให้กับนักเรียนมิได้ทำเพื่อผลประโยชน์อื่นใด